โฆษณาน่่าสนใจ-ช่วยคลิ๊กให้ด้วยครับ เพราะเจ้าของบล็อกจะได้รับค่าโฆษณาตอบแทนครับ

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลงสนามแข่ง!!! การออกขายประกัน ครั้งแรกของผม

ลงสนามแข่ง!!!
การออกขายประกัน ครั้งแรกของผม

ผมเชื่อว่านักขายทุกคน ถ้าคิดย้อนกลับไปในวันที่ออกขายประกันครั้งแรก ก็คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆกับผม นั่นคือ ทั้งขำทั้งสมเพชตัวเองจริงๆครับ เพราะหลังจากที่ผมไปฟัง วิชาการ (คนประกันชีวิตเขามักเรียกการประชุมหรือการบรรยายพิเศษที่พวกเขาจัดขึ้นว่า งานวิชาการ ครับ) เรื่องอาชีพตัวแทนประกันชีวิต ที่พวกเขาตั้งชื่อการประชุมเสียจนน่าสนใจว่า อาชีพมหัศจรรย์ ซึ่งตอนนั้นผมนึกอยู่ในใจว่า

มันมหัศจรรย์ตรงไหน (วะ) ก็แค่เป็นคนขายประกันนั่นแหละ

แต่ด้วยความอยากได้รายได้เพิ่ม อยากมีเงินไปแต่งงาน ก็ทำให้ผมตั้งใจฟัง และศึกษาข้อมูลแบบประกันจากหัวหน้าเพิ่มเติมเพื่อเตรียมออกขาย แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้ออกไปขายเสียที พอหัวหน้าโทรมาสอบถามเรื่องการขายว่า เป็นอย่างไรบ้าง?
ครั้งแรกๆ ก็โกหกยกเมฆไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละครับ (อย่าบอกนะครับว่าเคยทำเหมือนผม) พอหลายๆครั้งเข้าก็เริ่มกระดากใจตัวเอง เลยตัดสินใจจะออกขายประกันเป็นครั้งแรก
ตอนช่วงพักกลางวัน ผมบอกกับเพื่อนๆครูว่าจะออกไปตลาดสักหน่อย จากนั้นก็ตรงไปยังรถ ฮอนด้าคันงามของผม (เป็นรถ ฮอนด้าในฝัน ของครูหนุ่มๆอย่างผมในสมัยนั้นเลยครับ เพราะมันคือ รถมอเตอร์ไซด์ฮอนด้าดรีม ติดป้าย คุรุสภาที่กระบังลมหน้านั่นเองครับ)

ผมหยิบ แฟ้มการขาย วางไว้ที่ตระแกรงหน้ารถ ขึ้นนั่งคร่อมแล้วถีบคันสตาร์ทให้เครื่องยนต์สี่จังหวะเริ่มทำงาน
บรึ่มๆๆๆๆ
สมัยนั้น รถมอเตอร์ไซด์ฮอนด้า จะเป็นเครื่องยนต์สี่จังหวะ ส่วนยี่ห้ออื่นๆจะเป็นเครื่องยนต์สองจังหวะครับ ผมขับเจ้ามอเตอร์ไซด์คู่ชีพ ออกจากโรงเรียนมุ่งสู่ตลาดนิคม อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เป้าหมายคือ ร้านขายข้าวสารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านของผู้ปกครองเด็กที่ผมสอนอยู่เพื่อนำเสนอประกันชีวิต ให้เป็นทุนการศึกษานั่นเอง ทั้งนี้ก็เพราะผมวิเคราะห์ดูแล้วว่า
1.            คนๆนี้มีเงินเพียงพอที่จะซื้อประกันได้แน่นอน
2.          ผมกับเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (ผมเป็นครูของลูกชายเขา)
3.          สุขภาพทั้งของเขาและของลูกชายดีทั้งคู่
4.          เขารักลูกชายคนเดียวของเขามาก
5.          และที่สำคัญคือ สามารถพบเขาได้ไม่ยาก

สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ตอนผมจับรถมอเตอร์ไซค์ขับออกมาแรกๆนั้น มันเป็นไปด้วยความกระตือรือร้น และตั้งใจมั่นว่าจะไปขายประกัน แต่พอใกล้ร้านซึ่งเป็นเป้าหมายเข้าไปมากเท่าไหร่ หัวใจของผมก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นๆจนแทบทะลุออกมานอกอกเลยทีเดียว
ความสับสนลังเลใจ ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ความกลัว ความประหม่ามันพุ่งพล่านไปทั่วร่าง ยิ่งใกล้เข้าไปเท่าไหร่ หัวใจก็ภาวนาว่า
ขออย่าให้ลูกค้าอยู่ที่ร้านเลย ซะงั้น!
 
เมื่อเข้าไปใกล้ถึงหน้าร้าน ผมมองไปที่ร้านขายข้าวสารที่เป็นเป้าหมาย ผมก็เห็นเฮียเม้ง ยืนอยู่ที่หน้าร้าน แกใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน 
ผมตื่นเต้นตกใจมาก จึงขับมอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าร้านของแกไปเลย แล้วนึกเข้าข้างตนเองว่า 
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เวลานี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน เราน่าจะทานอาหารให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงค่อยมาเสนอขายประกัน เพราะถ้ากำลังขายประกันอยู่แล้วเกิดท้องร้องขึ้นมา จะดูไม่ดี ไงครับข้อแก้ตัวของผม????

จากนั้นก็เป็นเวลาอาหารกลางวัน ประมาณ 30 นาทีต่อมาผมก็ขับรถมอเตอร์ไซด์ ย้อนกลับมาทางเดิมอีกครั้งคราวนี้ก็ภาวนาอีกว่า
ขออย่าให้ลูกค้าอยู่ที่ร้านเลย อีกครั้ง แต่คำอธิฐานของผมไม่สัมฤทธิ์ผลครับ แกยังคงยืนอยู่บริเวณเดิม แต่คราวนี้ แกเป็นฝ่ายตะโกนเรียกผมว่า
ไปไหนหรือครู?”

ผมก็เลยจำใจแวะรถเข้าไปหาแก พอจอดรถมอเตอร์ไซด์ ก็เดินเข้าไปแล้วทักทายตามประสาคนรู้จักกัน

สวัสดีเฮีย ผมตั้งใจจะเข้ามาหาเฮียอยู่พอดี
มีเรื่องอะไรรึครูหรือว่าไอ้มนตรี (ลูกชายแก) มันไปแกล้งเพื่อนอีกหรือครู แกกล่าวด้วยความกังวล เพราะกิตติสรรพของลูกชายแกนั้นไม่เบาทีเดียว
เปล่าหรอกครับ เพียงแต่ผมมีเรื่องดีๆที่อยากจะมาคุยให้เฮียฟัง น่ะครับ ผมเริ่มเปิดฉากการขาย
เรื่องอะไรล่ะครู อ๋อ…. เรื่องประกัน ใช่ไหมครู?”  

คำถามของแกทำเอาผมสะดุ้งเลยครับ เป็นงงว่าแกรู้ได้อย่างไร (สรุปคือ แกเห็นแฟ้มการขายที่วางอยู่หน้ารถนั่นแหละครับ) เลยตอบแบบอ่อมๆแอ่มๆไปว่า

"ก็ทำนองนั้นแหละครับเฮีย พอดีตอนนี้ผมเป็นตัวแทนด้วยครับ และอยากจะเอา โครงการกองทุนการศึกษามาให้เฮียทำให้กับน้องมนตรีน่ะครับผมตัดสินใจเปิดการขาย แต่กลับต้องอึ้งเข้าไปใหญ่เมื่อแกตอบว่า
โอ้ย!!! ถ้าเป็นประกัน ไม่ไหวแล้วล่ะครู ผมทำเอาไว้เยอะแล้ว ทั้งของผม ของเมีย และของไอ้มนตรีมัน ผมก็ทำเอาไว้หมดแล้ว นี่ปีๆหนึ่งผมต้องหาเงินส่งประกันปีละตั้ง ห้าหกหมื่น แน่ะ
ยิ่งช่วงนี้ค้าขายก็ไม่ค่อยจะดีนัก ของเก่ายังจะส่งแทบไม่ไหวแล้วครู คงทำอีกไม่ไหวหรอก จริงๆแล้วผมอยากจะช่วยครูนะ แต่ไม่ไหวจริงๆขอล่ะ เอาไว้ผมคล่องๆตัวกว่านี้ ผมจะซื้อเพิ่มกับครูก็แล้วกัน อย่าเพิ่งโกรธกันนะครู ผมทำอีกไม่ไหวจริงๆ
แกตอบผมพร้อมยกเหตุผลยาวเหยียด จนผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป จึงตอบไปอย่าง น่ารักน่าตบว่า
ไม่เป็นไรครับ เฮียทำไว้ก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวกลับไปโรงเรียนนะครับ สวัสดีครับเฮีย

จากนั้น ผมก็ขับรถมอเตอร์ไซด์กลับไปยังโรงเรียนด้วยหัวใจที่บอบช้ำและเศร้าสร้อย และคิดไปว่า
หรือว่างานประกันชีวิต จะไม่เหมาะกับเราจริงๆ?”
……………………………………………..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น